ยามนี้กระแสที่โด่งดังจนฉุดไม่อยู่ คงหนีไม่พ้นละครเรื่อง "แรงเงา" ซึ่งเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งในวงสนทนาและทางสื่อออนไลน์ ไม่เพียงแต่คุณแม่บ้านที่รีบหยุดทุกอย่างเพื่อมาตั้งหน้าตั้งตาดูเท่านั้นฝ่ายคุณพ่อบ้านเองก็เช่นกัน อีกทั้งกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาววัยทำงานก็มีคนที่ติดละครเรื่องนี้กันอย่างงอมแงม เห็นได้จากการวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ หรือมีการขึ้นสถานะทางเฟซบุ๊กเกี่ยวกับตัวละครและประโยคเด็ดโดนใจชนิดนาทีต่อนาทีกันเลยทีเดียว
หนึ่งในสาเหตุที่หลายคนรู้สึกว่าละครเรื่องนี้โดนใจและรู้สึกอินมากๆ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวบางอย่างของละครกำลังซ้อนทับกับชีวิตจริง หรือความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการบางอย่างที่แฝงอยู่ในใจของคนเหล่านั้นก็เป็นได้
ดังนั้นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งถ้าเราจะปล่อยให้สิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมากลายเป็นเพียงละครที่สร้างมาเพื่อความสนุก สะใจ ได้เห็นคนตบกัน หรือเพื่อแสดงความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมเพียงเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วเนื้อหาที่ถูกซ่อนอยู่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาหลายอย่างในสังคม และครอบครัวรอบตัวเราทุกคน
เมื่อดูละครแล้วก็ควรกลับมาย้อนดูตัวเองและคนรอบข้างกันบ้าง อย่าปล่อยให้ชีวิตของเรา หรือคนที่เรารักต้องไปมีจุดจบแบบในละครเรื่องนี้เลย ปัญหาอย่างแรกที่ถูกซ่อนในละครเรื่องนี้ คือ "ความไม่พอ"
ความไม่พอในที่นี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะปัญหาความไม่พอในเรื่องความมักมากทางเพศของผู้ชายเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงความไม่พอในการที่จะต้องอยากได้อยากมีอยากเป็นของคนอื่น ๆ ในเรื่องด้วย ผอ.ในเรื่องเป็นตัวแทนของผู้ชายคนหนึ่งในสังคมที่เกิดความต้องการทางเพศขึ้นมา แต่ขาดซึ่งการยับยั้งชั่งใจ เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้คำนึงถึงศีลธรรม หรือความถูกต้อง จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อทั้งตัวเองและผู้อื่น หากใครพบว่าตนมีปัญหานี้
สิ่งแรกที่แนะนำให้ทำคือหยุดและตั้งสติ แม้ความต้องการทางเพศเป็นเรื่องตามธรรมชาติ แต่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นทั่วไปตรงที่เราสามารถควบคุมความต้องการตามธรรมชาตินี้ได้ การพยายามหาทางออกทางอื่นในการระบายความต้องการทางเพศ ได้แก่ การช่วยตัวเอง การไม่หมกมุ่นในเรื่องนี้มากจนเกินไป ด้วยการหากิจกรรมอื่นที่สร้างสรรค์มาทดแทน เช่น ออกกำลังกาย เล่นดนตรี
การเริ่มเอาใจใส่คนรอบข้าง ก็จะช่วยให้เราไม่ตกเป็นทาสของความต้องการนี้ได้ หาไม่แล้ว คุณเองอาจจะแพ้แม้แต่สัตว์บางชนิด เช่น นกเงือก ที่ทั้งชีวิตมันจะมีคู่อยู่แค่ตัวเดียว
การปลูกฝังค่านิยมและความคิดให้รู้จักควบคุมตัวเอง แยกแยะผิดชอบชั่วดีเป็นสิ่งสำคัญ พ่อแม่ควรเริ่มสั่งสอนลูกตั้งแต่วัยเด็ก และต้องมีจุดยืนให้ชัดเจนว่าการกระทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องโก้เก๋น่ายกย่อง และที่สำคัญต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเห็น
"ความไม่พอ" อีกประการที่ละครเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นคือความอยากได้ทรัพย์สินเงินทอง
ในปัจจุบันหลายคนมองว่าเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตเพราะการได้มาซึ่งปัจจัยสี่ หรือของฟุ่มเฟือยต่าง ๆ นั้นมีเงินเป็นตัวเชื่อม จนบางครั้งหลายคนจึงอาจมีคติว่าเงินซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้คนเราในปัจจุบันพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้เงินมาให้เยอะที่สุด ดังนั้นในยุคนี้สังคมเราจึงมีเรื่องสะเทือนใจให้เห็นมากมายว่ามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดหาเงินได้เพราะตัวตายหรือเจ็บป่วยจนลุกขึ้นมาทำอะไรไม่ได้แล้ว และก็เพิ่งได้ตระหนักว่าถึงจะหาเงินมาได้เยอะแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เอาเงินนั้นมาใช้ให้เกิดความสุขกับตัวเองสักอย่าง ต้องเอามาใช้กับการรักษาตัว หรือทิ้งไว้ให้คนอื่นใช้แทน
"การรู้จักพอ" มองให้เห็นถึงความสุขรอบตัวที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ และรู้จักแบ่งปันจะช่วยลดปัญหาในส่วนนี้ลงได้ เพราะหลายคนหลงลืมไปว่า นอกจากปัจจัย 4 คนเรายังต้องการสิ่งอื่นในการดำรงชีวิตอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความห่วงใย ความผูกพัน การให้ การให้เกียรติ ยกย่อง เชิดชู สุขภาพที่แข็งแรง เป็นต้น สิ่งที่จับต้องไม่ได้เหล่านี้ ล้วนใช้เงินซื้อไม่ได้ เราต้องใช้ความทุ่มเทเอาใจใส่ และมีการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นหากใครยังคิดจะใช้เงินซื้อ อาจต้องทุกข์ใจกับสิ่งที่ซื้อมาเป็นแน่ เพราะสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ใช่ของจริง